งานบริการสังคม
ที่มาของงานบริการสังคม
การทำงานบริการสังคม หรือสาธารณประโยชน์ในความรับผิดชอบของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เริ่มต้นมาจากแนวคิดเพื่อใช้เป็นมาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชนภายใต้เงื่อนไขการคุมประพฤติ โดยศาลหรือพนักงานคุมประพฤติกำหนดให้ผู้ถูกคุมความประพฤติต้องทำงานหรือกิจกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน หรือองค์กรสาธารณกุศล โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือค่าจ้าง โดยบัญญัติไว้ในกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้ใช้การทำงานบริการสังคมเป็นมาตรการลงโทษทางเลือก สำหรับผู้ต้องโทษปรับที่ยังไม่มีเงินชำระค่าปรับ และในปีเดียวกันนี้เองได้ใช้การทำงานบริการสังคมเป็นวิธีการร่วมกับการดำเนินการอื่นที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดดำรงชีวิตห่างไกลจากยาเสพติด อีกทั้งยังมีแนวโน้มให้การทำงานบริการสังคมเป็นมาตรการแทนการลงโทษจำคุกในอนาคต
วัตถุประสงค์ของการทำงานบริการสังคม
1. เพื่อกระตุ้นให้ผู้กระทำผิดตระหนักถึงความรับผิดชอบและมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อผู้อื่น และสังคมมากยิ่งขึ้น เกิดความภาคภูมิใจว่ายังมีคุณค่าและสังคมยอมรับว่าผู้กระทำผิดมีความสำนึกตัวและยังทำคุณประโยชน์ต่อผู้อื่น
2. ผู้กระทำผิดได้พัฒนาตนเองในด้านความรู้ ทักษะ ความมีวินัย ตลอดจนรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
3. เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้ชดเชยความเสียหายที่ก่อขึ้นด้วยการทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคม
4. เป็นการนำมาตรการทางเลือกอื่นมาใช้แทนวิธีการลงโทษจำคุกหรือโทษปรับ โดยการจำกัดเสรีภาพ จำกัดเวลาพักผ่อนส่วนตัว และให้ทำงานที่
เป็นประโยชน์แก่สังคม
รูปแบบ การทำงานบริการสังคม มี 2 รูปแบบ คือ
1. การทำงานบริการสังคมแบบรายบุคคล หมายถึง การจัดให้ผู้กระทำผิดแต่ละคนไปทำงานบริการสังคมตามหน่วยงานภาคีตามความรู้ ความสามารถ หรือการทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงาน หรือชุมชน
2. การทำงานบริการสังคมแบบกลุ่ม หมายถึง การจัดให้ผู้กระทำผิดทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มซึ่งจะช่วยฝึกทักษะด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นให้ดีขึ้น หรือเป็นการทำงานตามความต้องการของชุมชนที่ลักษณะงานต้องใช้คนจำนวนมาก หรือเพื่อส่งเสริมการยอมรับและความสัมพันธ์อันดี
กิจกรรม การทำงานบริการสังคม มีหลากหลายประเภท อาทิ การพัฒนาหรือทำความสะอาดสถานที่สาธารณะ เช่น วัด โรงเรียน สถานที่ท่องเที่ยว การปลูก และดูแลสวนป่าหรือสวนสาธารณะการช่วยเหลือดูแลอำนวยความสะดวก หรือให้ความบันเทิงแก่คนพิการ เด็กกำพร้า คนชรา ในสถานสงเคราะห์ หรือผู้ป่วยในสถานพยาบาล การสอนกีฬา ฝึกสอนวิชาชีพอื่นๆ เช่น สอนซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้ารถจักรยานยนต์ และกิจกรมอื่นๆ เช่น การทำงานในห้องสมุด การทาสีเครื่องหมายจราจร การบริจาคโลหิต งานอาสาสมัครช่วยผู้ประสบภัย หรือร่วมรณรงค์ป้องกันอาชญากรม เป็นต้น
การทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ
การทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับคืออะไร คือ ทางเลือกของผู้กระทำผิดที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษปรับ แต่ไม่มีเงินเสียค่าปรับต้องทำงานบริการสังคมทดแทนให้แก่สังคม ชุมชน หรือองค์กรสาธารณกุศลที่ไม่แสวงหาผลกำไร
โดยถืออัตราหักค่าปรับวันละ 500 บาท
ผู้ใดที่มีสิทธิ์ขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ
ผู้ต้องโทษปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา30/1 ซึ่งไม่ใช่นิติบุคคลและและไม่มีเงินชำระค่าปรับ
ศาลจะมีคำสั่งทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับอย่างไร มี 2 กรณี คือ
1. เมื่อศาลสอบถามและแจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องโทษปรับที่ไม่มีเงินชำระค่าปรับและผู้ต้องโทษปรับ
ต้องการทำงานบริการสังคมแทนก็สามารถยื่นคำร้องตามแบบ บ.ส.1 โดยศาลจะจัดให้มีการช่วยเหลือหรือ
อำนวยความสะดวกในการจัดทำคำร้องและประวัติตามแบบ บ.ส.2 เพื่อยื่นคำร้อง ซึ่งศาลอาจมีคำสั่งให้
ทำงานบริการสังคมได้เลย โดยไม่ต้องถูกนำตัวไปกักขัง
2. ผู้ต้องโทษปรับที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษปรับ แต่ไม่มีเงินชำระค่าปรับและมีความประสงค์จะทำงานบริการสังคมแทนในภายหลังสามารถยื่นคำร้อง (ซึ่งให้ผู้เกี่ยวข้องขอรับแบบฟอร์มได้จากฝ่ายประชาสัมพันธ์ศาล) โดยแจ้งความต้องการขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับลงในแบบคำร้อง (แบบ บ.ส.1) และกรอกประวัติส่วนตัวลงในแบบประวัติจำเลย (บ.ส.2) แล้วยื่นต่อศาล
การอนุญาตหรือไม่อนุญาต ศาลจะพิจารณาจากอะไร
ศาลจะพิจารณาจากฐานะการเงิน ประวัติส่วนตัว ครอบครัว สภาพแวดล้อม ประวัติการกระทำความผิด และสภาพความผิดของผู้ต้องโทษปรับ รวมถึงประโยชน์ส่วนรวมที่เกิดจากการทำงานบริการสังคม
ใครเป็นผู้ดูแลการทำงานบริการสังคม
ศาลจะสั่งให้พนักงานคุมประพฤติเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานของรัฐ องค์กรสาธารณกุศลที่ไม่แสวงหาผลกำไรเป็นผู้ดูแลการทำงาน
การกำหนดประเภทของงานและระยะเวลาทำงาน พิจารณาจากอะไร
ศาลจะพิจารณาจากเพศ อายุ ประวัติ การนับถือศาสนา ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาสุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ หรือสภาพความผิดของผู้ต้องโทษปรับ ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและไม่เป็นการสร้างภาระกับผู้ต้องโทษปรับมากเกินไป ซึ่งรายละเอียดได้กำหนดไว้ในระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยการกำหนดจำนวนชั่วโมง ที่ถือเป็นการทำงานหนึ่งวันและแนวปฏิบัติในการให้ทำงานบริการสังคมฯ พ.ศ. 2546
บทบาทของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม
กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทในการดำเนินการให้ผู้ต้องโทษปรับ ทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ ตามคำสั่งศาลโดยมีพนักงานคุมประพฤติเป็นผู้ดูแล และดำเนินการจัดให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ
ลักษณะหรือประเภทของงานในการทำงานบริการสังคม
- การทำงานช่วยเหลือดูแลอำนวยความสะดวกหรือให้ความบันเทิงแก่คนพิการ คนชรา เด็กกำพร้า หรือผู้ป่วยในสถานสงเคราะห์หรือสถานพยาบาล
- การทำงานวิชาการหรืองานบริการด้านการศึกษา เช่น การสอนหนังสือ การค้นคว้าวิจัย หรือการแปลเอกสาร
- การทำงานที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญ เช่น งานช่างฝีมือ เครื่องยนต์ ก่อสร้าง คอมพิวเตอร์ หรือวิชาชีพอย่างอื่น
- การทำงานบริการสังคมทั่วไป เช่น การทำความสะอาดหรือพัฒนาสถานที่สาธารณะ งานปลูกป่าหรือดูสวนป่าหรือสวนสาธารณะ
- การบริจาคโลหิต การร่วมรณรงค์ในกิจกรรม/โครงการเพื่อสังคม
- งานอื่นๆ ที่ไม่ขัดกับหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของการทำงานบริการสังคม
การทำงานบริการสังคมตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
1. การทำงานบริการสังคมตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2559 มาตรา 56 เป็นกรณีที่ศาลรอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แก่ผู้กระทำผิดไม่เกินห้าปี โดยศาลอาจกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุม
ความประพฤติไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้ซึ่งเงื่อนไขการคุมความประพฤติข้อหนึ่งได้แก่ การให้ไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานที่ศาลระบุไว้
เป็นครั้งคราว เพื่อเจ้าพนักงานจะได้สอบถาม แนะนำ ช่วยเหลือ หรือตักเตือนตามที่เห็นสมควรในเรื่องความประพฤติและการประกอบอาชีพหรือจัดให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ ซึ่งมีพระราชบัญญัติและระเบียบที่เกี่ยวข้องดังนี้
1.1 พระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 29 เป็นกรณีที่พนักงานคุมประพฤติจัดให้ผู้ถูกคุม
ความประพฤติทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามคำสั่งศาลหรือ เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ต้องพิจารณา ข้อมูลคดี ข้อมูลส่วนบุคคลประกอบด้วย อีกทั้งงานที่จัดให้ทำจะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อทางศาสนาตลอดจนปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง
1.2 ระเบียบกรมคุมประพฤติว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ พ.ศ. 2560 เพื่อรองรับการดำเนินงานของพนักงานคุมประพฤติในการจัดให้ผู้ถูกคุมความประพฤติทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามพระราชบัญญัติ
คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 29
2. การทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2559 มาตรา 30/1 เป็นมาตรการลงโทษทางเลือก ให้กับผู้ต้องโทษปรับที่ไม่ใช่นิติบุคคลและไม่มีเงินชำระค่าปรับ ซึ่งโดยปกติหากไม่มีเงินชำระค่าปรับจะต้องถูกนำตัวไปกักขังแทนค่าปรับ แต่มาตรานี้ให้สิทธิผู้ไม่มีเงินชำระค่าปรับสามารถยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีเพื่อขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับได้
ดังนั้นเป้าหมายของการทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ จึงเป็นการที่ให้ผู้กระทำผิดที่ไม่มีเงินชำระค่าปรับทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ โดยคำนึงถึงระยะเวลาและประเภทงานตามคำสั่งศาลโดยเคร่งครัด แตกต่างกับการทำงานบริการสังคมตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2559 (มาตรา 56) ชึ่งเป็นเรื่องการทำงานบริการสังคมโดยเป็นเงื่อนไขในการคุมความประพฤติ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการแก้ไขฟื้นฟู และการชดเชยความผิดแก่ผู้เสียหายและสังคม
3. การทำงานบริการสังคมตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 มาตรา 23 (4)
เป็นกรณีที่ใช้การทำงานบริการสังคมเป็นวิธีการหนึ่งในการจัดทำแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ร่วมกับการดำเนินการอื่นที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดดำรงชีวิตห่างไกลจากยาเสพติด
หน่วยงานภาคีกับการทำงานบริการสังคม
“หน่วยงานภาคี” หมายถึง หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชุมชน เอกชน หรือองค์กรอื่น ที่มีข้อตกลงร่วมกันกับสำนักงานคุมประพฤติให้เป็นหน่วยงานที่จัดให้ ผู้ถูกคุมความประพฤติทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้มีความสำคัญต่อกระบวนการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด ที่จะช่วยให้ผู้กระทำผิดได้ทำงานชดใช้ตอบแทนสังคม เกิดจิตสำนึกและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นคนดีของสังคมได้ต่อไป หน่วยงานต่างๆ สามารถติดต่อขอข้อมูลการเข้าร่วมเป็นหน่วยงานภาคีได้จากสำนักงานคุมประพฤติในพื้นที่นั้น